Search

ปรัชญากฎหมายไทยจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ (สมัยสุโขทั...

  • Share this:

ปรัชญากฎหมายไทยจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ (สมัยสุโขทัย)

ในยุคสุโขทัยถือว่าเป็นปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยมในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์กับภาษาที่ใช้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงสมัยสุโขทัยมีความใกล้เคียงกัน ดังนั้น จึงสันนิษฐานว่ามันน่าจะมีอิทธิพลต่อกัน และการวิเคราะห์ถึงข้อสรุปหรือข้อสันนิษฐานว่ายุคสุโขทัยยึดถือปรัชญาแบบธรรมนิยมนั้นเราพิจารณาได้จากตัวคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ดังนี้ คือ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์
แสดงให้เห็นว่าสมัยสุโขทัยเคารพและเลียนแบบธรรมศาสตร์หรือกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางกฎหมายของอินเดียและพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง โดยคัมภีร์นี้เป็นเสมือนแม่บทแห่งกฎหมายและเป็นรูปธรรมเชิงลายลักษณ์อักษรของความคิดเชิงปรัชญากฎหมายไทย ซึ่งจะพิจารณาได้อย่างน้อยจากหลักฐานในศิลาจารึกทั้ง 38 ศิลาจารึกกฎหมายลักษณะโจรในสมัยสุโขทัยซึ่งมีข้อความบางตอนกล่าวอ้างถึง
“….ผู้ใด…ใหญ่สูงและบส่งคือข้าท่าน และไว้ข้าท่าน ภรรยาชายท่าน เลยว่าท่านจัก…..ด้วยในขนาดในราชศาสตร์ธรรมศาสตร์ และ…..”
ในขั้นนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติการก่อกำเนิดของโลกในตอนต้นของกฎหมายตราสามดวง ซึ่งเชื่อว่าข้อความในกฎหมายตราสามดวง คงจะเป็นลักษณะเดียวกับในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ข้อความในกฎหมายตราสามดังกล่าวมีสั้น ๆ สรุปได้ ความว่าหลังจากพราหมณ์หลงมากินดินแล้ว เกิดความเสื่อมในการบริโภคข้าวสาลี แล้วเพศชายเพศหญิงก็ปรากฏมีการร่วมประเวณีเกิดลูกหลานขึ้นมา ซึ่งข้อความในตอนนี้จะมีปรากฏทั้งในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ฉบับพุทธหรือฉบับฮินดู อันทำให้เห็นว่ามีความนัยแฝงอยู่ กล่าวคือ น่าจะเป็นแนวปรัชญาความคิดเริ่มต้นของปรัชญากฎหมายของตะวันออก
ข้อสังเกต เมื่อเราศึกษาธรรมชาติเชิงพุทธมีการพัฒนาในเชิงนิติศาสตร์ที่สูงกว่าแบบฉบับดั้งเดิมของฮินดู ในแง่ที่มุ่งเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติในทางโลกมากกว่าทางธรรม ดังนั้นเค้าโครงเนื้อหาในเชิงศาสตร์ต่าง ๆ จึงถูกตัดหรือลดทอนเพื่อให้คัมภีร์เป็นคัมภีร์ทางกฎหมายมากกว่าคัมภีร์ทางศาสตร์ปนกฎหมาย อย่างไรก็ตามเมื่อเราพิจารณาเราพิจารณาถึงธรรมศาสตร์เชิงพุทธหรือของฮินดู ข้อความดังกล่าวนั้นได้ย่อมาจากความในพระไตรปิฏก คือจาก อัคคัญสูตร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาพิจารณาและทำความเข้าใจใน อัคคัญสูตร
อัคคัญสูตร แปลว่า สูตรที่เป็นต้นกำเนิดของโลกหรือชีวิต ในพระสูตรนี้ได้อธิบายกำเนิดสังคมหรือรัฐและการกำเนิดชนชั้นปกครอง รวมถึงการกำเนิดกฎหมายจึงเป็นไปเพื่อป้องกันมิให้สังคมมนุษย์เสื่อมลงจากธรรมชาติมากไปกว่านี้ โดยเฉพาะการป้องกันมิให้คือการกอบโกยเอารัดเอาเปรียบเพื่อนชีวิตกัน ทั้งนี้นัยของอุดมคติแบบสังคมนิยมแฝงอยู่ด้วย อาจจะเรียกคำของพุทธทาสภิกขุว่าเป็นการปกครองที่มีระบบสังคมที่มนุษย์จัดขึ้นทดแทน “ระบบสังคมนิยมของธรรมชาติ”
ในอัคคัญสูตร นั้นถือว่าเป็นรากฐานที่พระธรรมศาสตร์นำมาย่อไว้ในตอนต้น ซึ่งจะมีการกล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการกำเนิดของโลก ซึ่งในตอนต้นจะเป็นการถกเถียงกันของสามเณร 2 รูปเกี่ยวกับเรื่องวรรณะ (เพราะความเชื่อทางฮินดูหรือพราหมณ์ จะถือว่าพราหมณ์เป็นชนชั้นที่สูงมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า) ว่าวรรณะใดสูงกว่ากัน พระพุทธเจ้าจึงมีพระดำรัสความว่า
“ ดูกร วาเสฏฐะ และภารทวาธะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของพวกเขาไม่ได้ จึงพากันพูดอย่างนี้ พราหมณ์พวกเดียว เป็นวรรณะที่ประเสริฐสุดวรรณะอื่นเลวทรามพวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพราหมณ์ กำเนิดมาจากพราหมณ์ในสมัยนั้นเป็นทายาทของพราหมณ์ดังนี้ ดูกร วาเสฏฐะ และภารทวาธะ ก็ตามที่ปรากฏอยู่แล้วคือ พวกพราหมณ์ทั้งหลายของพวกพราหมณ์ มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกกินนมอยู่บ้าง อันที่จริงพราหมณ์เหล่านั้นก็ล้วนแต่เกิดจากช่องคลอดของนางพราหมณ์ทั้งนั้น……… “
จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า เรื่องวรรณะนั้นจริง ๆ แล้วเป็นสมมติขึ้นมาทีหลังการที่กล่าวอ้างว่าพราหมณ์เป็นวรรณะที่ประเสริฐสูงสุดจริง ๆ แล้วไม่ใช่ พราหมณ์ก็มาจากคนธรรมดาที่กำเนิดจากนางพราหมณ์ อันเป็นการกล่าวความเชื่อเกี่ยวกับวรรณะของพวกฮินดูหรือพราหมณ์ และการมองในเชิงทางการเมืองจะมองได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความเป็นปฏิปักษ์ของพุทธศาสนากับพราหมณ์ในแง่ของความคิด โดยที่พุทธศาสนาพยายามที่จะโต้แย้งหลักเรื่องวรรณะของพราหมณ์
หลังจากพระพุทธเจ้าได้หักล้างความเชื่อเก่าแก่เรื่องกำเนิดแห่งวรรณะสูงสุดด้วยโวหารที่ฟังดูตรงไปตรงมาแล้วพระองค์ก็ได้ตรัสเล่าต่อถึงเรื่องกำเนิดโลกกำเนิดมนุษย์ ด้านหนึ่งคงเพื่อขยายความสนับสนุนคติเรื่องความเสมอภาคของคนและอีกด้านหนึ่งคงมุ่งชี้ให้เห็นถึงปัจจัยแห่งการกำเนิดมนุษย์ สังคม ผู้ปกครองหรือกฎเกณฑ์แห่งการปกครองสังคม
ภายใต้จักรวาลวิทยาของพระพุทธศาสนาในการพรรณาความถึงวัฎจักรของโลกที่มีแตกดับ พินาศ และเจริญสลับเปลี่ยนกันไป จากนั้นก็ท้าวความไปถึงกาละหนึ่งที่จักรวาลมีแต่น้ำเต็มไปด้วยความมืดมน ไม่ทั้งดาวฤกษ์และดาวนพเคราะห์ ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีทั้งกาละและเทศะ ขณะเดียวกันก็บอกเล่าถึงสิ่งมีชีวิตหนึ่งซึ่งมีลักษณะน่าอัศจรรย์ ความในพระไตรปิฏกใช้คำว่า “สัตว์” หากมิใช่สัตว์สามัญชั้นต่ำธรรมดา ทว่าเป็นสัตว์ที่เกิดในชั้นอาภัสสรพราหมณ์ ไม่มีเพศชายหญิงและที่สำคัญคือเป็นสัตว์ที่ “สำเร็จกิจได้ดังใจนึก มีปิติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายของตนเอง สัญจรไปได้ในอวกาศอยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในตนนั้นนานแสนนาน” หลังจากนั้นในจักวาลที่มีแต่น้ำ ก็มีเหตุการณ์ประหลาดขึ้นมาคือเกิดเป็นง้วนดินขึ้นมา ลอยบนน้ำ ง้วนดินมีลักษณะคล้ายนมที่เคี่ยวให้เแห้งสัตว์ที่เป็นพราหมณ์นี้ก็เกิดความสงสัยและลองเอานิ้วแตะเข้าปากเมื่อได้ลิ้มเข้าไปแล้วก็เกิดความเปลี่ยนแปลง เกิดความซาบซ่านในรสชาติสิ่งที่เป็นรัศมีในตัวเองก็หายไป เมื่อรัศมีหายไปก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดคือธรรมชาติต่าง ๆ ในแง่ดวงดาวกลางวันกลางคืนฤดูกาลต่าง ๆ จุดนี้ทำให้เกิดโลกขึ้นมาในแง่ที่มีธรรมชาติเกิดขึ้นมา
เรื่องราวในพระไตรปิกฏข้างต้นได้แฝงด้วยนัยที่สำคัญอย่างมากในคติพื้นฐานของพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หรือพฤติกรรมมนุษย์กับธรรมชาติ แม้สัตว์ที่เป็นอาภัสสรพราหมณ์ จะมิใช่มนุษย์โดยตรงหากถือตามเรื่องราวที่ปรากฏ ก็คงนับโคตรเหง้าแห่งตระกูลมนุษย์ต่อมา เราจะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของธรรมชาติ (ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หรือฤดูกาล) เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ“สัตว์“ดังกล่าวที่เดิมบริโภค “ปิติ” (ถือศีลกินวาตา) เป็นอาหารหากหันมากิน “ง้วนดิน” จึงเป็นการกระทำที่ผิดปกติวิสัยหรือผิดธรรมชาติของสัตว์ที่สำเร็จธรรมชั้นสูง หากยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้นจนหมดความอยากใด ๆ โดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงมี “สัตว์โลกผู้หนึ่ง ที่เป็นคนโลภ” หลงพลัดไปเสพยังง้วนดินเข้า กล่าวดังนี้ ความโลภจึงเป็นหน่อเชื้อสำคัญหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่เมื่อปะทะกับความเย้าหยวนของวัตถุคือง้วนดินเข้า ก่อเกิดเป็นปัจจัยการที่นำไปสู่ห่วงโซ่แห่งอุบัติการณ์ต่าง ๆ ตามมา

การกำเนิดธรรมชาติจึงเป็นเพราะเป็นผลมาจากสัตว์ที่เป็นพราหมณ์หมดบารมีหรือหมดทิพยภาวะและการที่หมดบารมีก็เพราะไปกินง้วนดิน จนทำให้เกิดโลกและกำเนิดมนุษย์ ขึ้นมาผิวพรรณก็เกิดความหมายแตกต่างกันไป ความแตกต่างของผิวพรรณที่เกิดขึ้นก็นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องจากเกิดดูหมิ่นถือตัวกันขึ้นบางคนก็คิดว่าตนผิวละเอียด ผิวสวยกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวธรรมชาติกล่าวคือ อาหาร ซึ่งเป็นง้วนดินหายไปเป็นสะเก็ดดินขึ้น ต่อจากนั้นก็ปรากฏเครือดินที่คล้ายผักบุ้งจีนแทน
ต่อมาเมื่อเครือดินก็หายไป การเกิดแล้วดับถึงสามครั้งของดินที่มีลักษณะพิเศษดังกล่าวดูจะสะท้อนความโง่เขลาของสัตว์อย่างมากที่ไม่มีการสรุปบทเรียนถึงความผิดพลาดของพวกตนที่ผ่านมา ทำได้แต่เพียงจับกลุ่มชุมนุมกันและพร่ำบ่นอาลัยสิ่งที่สูญหายไปเท่านั้น ที่สำคัญอันควรนับเป็นคติเตือนใจคือ เมื่อใดที่การประพฤติผิดธรรมหรือเกิดอกุศลในหมู่สัตว์แล้วย่อมนำไปสู่ความผิดปกติหรือความเสื่อมแห่งธรรมชาติ อันเป็นผลเสียหายต่อสัตว์เอง และนี่คือการย้ำถึงอิทธิพลแห่งการประกอบกรรมที่มีต่อธรรมชาติอย่างชัดเจน
หลังจากสูญสิ้นเครือดินแล้วก็เกิดเป็นข้าวสาลีขึ้นมา ซึ่งเป็นข้าวสาลีที่ข้าวทิพย์เก็บเช้าเย็นก็ขึ้นมาใหม่ การกำเนิดข้าวสาลีถือเป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสังคม เพราะว่าหลังจากเกิดข้าวสาลีเข้าไปแล้วทำให้เป็นเพศขึ้นมา กำเนิดข้าวสาลีจึงเชื่อมโยงไปสู่การกำเนิดแห่งคนที่มีการแยกเพศหญิงเพศชายแตกต่างกันออกไป ขณะเดียวกันนั้นความกำหนัดหรือกามตัณหาอันเกิดจากการเพ่งดูกันของคนต่างเพศ ก็ก่อให้เกิดการร่วมประเวณีสืบเผ่าพันธุ์กันต่อมา
การร่วมประเวณีของชายหญิง ครั้งแรกในโลกย่อมไม่ใช่สิ่งปกติธรรมดาในสายตาของผู้อื่นในกาละนั้น เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นจึงเกิดการประณามต่อต้านขึ้นในหมู่คณะด้วยกันเอง โดยโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยขี้เถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่า “คนชั่วจงฉิบหายและพูดต่อไปว่า ก็ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า” นอกจากการต่อต้านโดยการขว้างปาสิ่งสกปรก และด่าทอแล้ว ผู้ประกอบกรรมทางเพศดังกล่าว ยังถูกเนรเทศไม่ให้เข้ากลุ่มเข้าพวกเป็นระยะเวลาหนึ่งๆ
ข้อสังเกต ท่าทีทั่วไปต่อการประกอบกิจประเวณีแสดงออกมาถึงมาตรฐานทางศีลธรรมที่ค่อนข้างสูง เรื่องการยึดมั่นพรหมจรรย์ ขณะเดียวกันการเสพสังวาสระหว่างชายหญิงก็ย่อมนับได้ว่าเป็นการก่อบาปกรรมหรือเป็นกระทำครั้งแรกในสายตาคนด้วยกันเองที่มีโทษด้วยการขว้างปาและถูกเนรเทศชั่วคราว เมื่อมองปัจจุบันมาตรฐานทางศีลธรรม ดังกล่าวมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แม้แต่ในปัจจุบันจะถือเอาการร่วมประเวณีเป็นเรื่องปกติ พฤติกรรมทางเพศดังกล่าวจัดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอยู่มากดังที่ปรากฏเงื่อนทางกฎหมายเข้าไปควบคุมจำกัดอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอายุขั้นต่ำของการสมรสหรือบทกฎหมายเกี่ยวกับการพรากผู้เยาว์ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อมา คือ มีการสะสมข้าวสาลี กล่าวคือ แทนที่จะกินข้าวสาลีตามปกติ เมื่อการเก็บสะสมข้าวสาลีก็เริ่มขาดแคลน ซึ่งการสะสมก็เหมือนกับการลักทรัพย์หรือการลักส่วนของคนอื่น ทำให้ธรรมชาติเริ่มเสื่อมและธรรมชาติก็ลงโทษทำให้ข้าวสาลีหายไป ในที่สุดก็มีการประชุมกันปรับทุกข์ในปัญหาที่เกิดขึ้น จนได้ข้อสรุปเป็นทางออกว่า “พวกเราควรมาแบ่งข้าวสาลีปักปันเขตแดนกันเสียเถิด” ข้อตกลงนับเป็นเรื่องสำคัญมากๆ อีกจุดหนึ่ง ดังนี้ คือ
ข้อตกลงแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนอาจตีความได้เสมือนกำเนิดครั้งแรกแห่งกฎเกณฑ์ ซึ่งวางบรรทัดฐานหรือจัดระบบการแบ่งสรรผลประโยชน์ในสังคม
หลังจากที่มีการแบ่งปันเขตแดนต่าง ๆ แล้วความเลวร้ายก็ยังปรากฏตามมาอีก เนื่องจากมนุษย์บางคนไปลักทรัพย์ ข้ามเขตแดนไปเอาข้าวสาลีคนอื่นซึ่งมีการจับกุมได้ จับได้ครั้งแรกก็ไม่ลงโทษอะไร ให้ผู้ถูกจับให้คำมั่นสัญญาจะไม่ทำอีก แต่ก็ยังมีการละเมิดสัจจะหลายต่อหลายครั้งในที่สุดเลยมีการใช้กำลัง เมื่อจับผู้กระทำความผิดได้ท้ายที่สุดก็เลยมีการใช้กำลังตบตีใช้ท่อนไม้ตีกันทำให้เห็นความเสื่อมอย่างสุดๆ ของมนุษย์ ถ้าเทียบกับความเป็นพราหมณ์ในเริ่มต้นสัตว์มีมโนธรรมอยู่ก็เลยคิดว่าต้องหาทางปรับปรุงแก้ไข แม้การประชุมปรึกษาหารือกันในหมู่สัตว์ชั้นผู้ใหญ่ จนได้คำตอบสำคัญในการแก้ไขปัญหาว่า
“อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรสมมุติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้กล่าวผู้ที่ควรกล่าวโดยชอบ ให้เป็นผู้ติเตียน ผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบให้เป็นผู้ขับไล่โดยชอบ ส่วนพวกเราจัดแบ่งข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น…….”
อันนี้เป็นเหตุการณ์ที่อ้างมาถึงจุดของการตั้งผู้ปกครอง ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่จะตีความถึงแนวคิดเกี่ยวกับกำเนิดชนชั้นปกครองหรือกำเนิดรัฐในแบบพุทธศาสนา ซึ่งในทางปรัชญาพุทธศาสนาจะมองว่า ผู้ปกครองมาจากการแต่งตั้ง กำเนิดผู้ปกครองรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดว่าผู้ปกครองนั้นมาจากการประชุมปรึกษากันของคนและการปรึกษาก็คล้ายกับเป็นข้อตกลงระหว่างผู้แต่งตั้งกับผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นสัญญาประชาคมในแง่คนที่แต่งตั้งหรือประชาชน ก็มอบอำนาจในการปกครองให้โดยบางสิ่งตอบแทน (ข้าวสาลี) ให้และคนที่เป็นผู้ปกครองก็ทำหน้าที่ในการดูแลทุกข์สุข ลงโทษคนที่กระทำความผิดต่าง ๆ
ข้อสังเกต การเริ่มแรกสถานะแห่งกฎเกณฑ์นี้ย่อมมองได้ทั้งในรูปข้อตกลงของชุมชน ประเพณี หรือกระทั้งกฎหมายจารีตประเพณี และข้อที่น่าสนใจ คือ หากอนุมานว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการกำเนิดกฎหมาย กฎหมายโดยนัยนี้ก็ไม่ได้มาจากเจตจำนงของผู้มีอำนาจคนใดคนหนึ่งหรือไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหากเกิดขึ้นจากการตกลงปลงใจของเหล่าสัตว์ที่ “พากันมาจับกลุ่มประชุม”นัยแห่งประชาธิปไตยหรือการมีส่วนรวมของสมาชิกในการวางกฎเกณฑ์ ย่อมสะท้อนให้ปรากฏจนอาจจะเป็นหลักคิดพื้นฐานแบบพุทธ ในเรื่องธรรมชาติหรือกระบวนการออกกฎเกณฑ์ที่มีผลบังคับต่อผู้คนทั่วไป อันเป็นหลักคิดที่สำคัญพุทธศาสนา ที่อาจเรียกว่า “ทฤษฎีสัญญาประชาคมในเชิงพุทธศาสนา”


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts